จากสถานการณ์ของโควิด-19 โรคร้ายที่แพร่กระจายเชื้อรวดเร็ว ส่งผลกับประชาชนทั่วโลก จนถึงเวลานี้มีคนติดเชื้อสะสมทั่วโลกแล้วกว่า 15.5 ล้านคน และเสียชีวิตอีกกว่า 6.3 แสนราย ซึ่งดูเหมือนว่าโรคร้ายนี้จะไม่หายสาบสูญไปง่ายๆ เพราะเป็นเชื่อที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ล่าสุดดูเหมือนว่าประชาชนทั่วโลกเริ่มมีความหวังในการรักษาโรคนี้แล้ว
เมื่อมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ค้นพบผลลัพธ์ที่น่าประทับใจของ วัคซีนไวรัสโคโรนา (SARS-CoV-2) หลังจากทดสอบในมนุษย์แล้วเห็นผล วันนี้ถือเป็นวันที่สำคัญมากๆ ศาสตราจารย์ ซาราห์ กิลเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาวัคซีนและหัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ แต่ก็ยอมรับว่า การทดสอบยังมีระยะทางอีกยาวไกลที่ต้องไปต่อ
วัคซีนออกซ์ฟอร์ด เป็น 1 ในวัคซีน 23 ชนิด ที่ทำการทดสอบในมนุษย์ และเป็นความหวัง ว่าผลการทดสอบจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า วัคซีนทำงานได้จริงและเห็นผล
โดยผลการทดสอบเบื้องต้นของ วัคซีนออกซ์ฟอร์ด ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เพิ่งได้รับการตีพิมพ์บนวารสารทางการแพทย์ แลนซิต (Lancet) เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้เอง (20 ก.ค.) ซึ่งแสดงผลให้เห็นว่า วัคซีนออกซ์ฟอร์ดที่มีชื่อว่า ChAdOx1 nCoV-19 สามารถเร่งปฏิกิริยาการตอบสนองภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้นได้
การทดสอบของ วัคซีนออกซ์ฟอร์ด นี้ มีอาสาสมัครเข้าร่วมกว่า 1,000 คน ช่วงอายุตั้งแต่ 18-55 ปี ที่เมื่อได้รับวัคซีนเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็พบว่าสามารถสร้าง แอนติบอดี (Antibody) ได้เป็นจำนวนมาก และโปรตีนยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายในเลือด รวมถึงยึดเกาะไวรัสได้ แม้ว่าแอนติบอดีก็ไม่ได้ยึดเกาะไวรัสได้ทั้งหมด ยังคงมีบางตัวที่เล็ดลอดผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
วัคซีนออกซ์ฟอร์ด มีพลังมากแค่ไหน คำตอบคือ หากได้รับวัคซีน 1 โดส อาสาสมัครส่วนใหญ่ก็สามารถสร้างแอนติบอดีชนิด ลบล้างฤทธิ์ ที่คอยกีดขวางเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสได้ แต่หากรับโดสที่ 2 อาสาสมัครก็จะสามารถสร้างแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ได้ทั้งหมด โดยภายในร่างกายมนุษย์จะสามารถสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน ที่รู้จักกันดีว่า T-Cell
ซึ่งคอยทำหน้าที่ในการค้นหาและทำลายเซลล์ติดเชื้อก่อนที่จะสร้างไวรัสเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่า การตอบสนองของ T-Cell เป็นส่วนสำคัญของภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนา เพราะจากผลการทดสอบ วัคซีนออกซ์ฟอร์ด พบว่า ตัวยาวัคซีนได้ไปกระตุ้นการตอบสนองของ T-Cell ภายใน 14 วันหลังมีการฉีดยา และมีการตอบสนองแอนติบอดีภายใน 28 วัน ซึ่ง T-Cell นี้แหละ ที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สามารถเข้าโจมตี เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา อันเป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19 ได้
ง่ายๆ ว่า จากการทดสอบขั้นต้นระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เพียงแค่ วัคซีนออกซ์ฟอร์ด โดสเดียว พบว่า หลังจากฉีดวัคซีนไปได้ 1 เดือน กว่า 95% ของอาสาสมัคร สามารถทำให้ แอนติบอดี เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ที่เข้าสู่ปุ่มโปรตีนของไวรัสโคโรนาได้
จากการสังเกตการณ์อาสาสมัครกว่า 60% จะมีอาการข้างเคียงบางอย่าง เช่น อาการไข้, ปวดหัว, ปวดกล้ามเนื้อ และปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดวัคซีน แต่อาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่ได้มีอาการหนักเป็นอันตราย
สถาบันซีรั่มแห่งอินเดีย ยังมีการวางแผนการผลิต วัคซีนออกซ์ฟอร์ด ไว้อีกว่า ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 นี้ จะมีวัคซีนเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิต จำนวนกว่า 2-3 ล้านโดสทีเดียว จากคำยืนยันของซีอีโอสถาบันซีรั่มฯ คาดว่า ประชาชนในเมืองปูเนและมุมไบประมาณ 4,000-5,000 คน จะมีโอกาสได้รับการฉีดยาวัคซีนออกซ์ฟอร์ดในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตารางการทดลองระยะ 3 อย่างน้อย 3 เดือน
หากเป็นไปได้ภายในสิ้นปี 2563 นี้ สถาบันซีรั่มฯ จะสามารถผลิตวัคซีนได้กว่า 300-400 ล้านโดส หลังจากที่การทดสอบขั้นต้นประสบความสำเร็จและได้รับใบอนุญาต (ทดลอง) ที่สำคัญ ถ้าเป็นไปตามแพลนที่วางไว้จริงๆ ChAdOx1 nCoV-19 จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 1,000 รูปีต่อโดส หรือตีเป็นเงินไทยก็ราวๆ 424 บาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอีกไม่นานผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 จะมีวัคซีนรักษาโรคนี้แล้ว แต่นี่คือราคาในอินเดีย แต่หากนำเข้ามาไทยคงไม่ใช่ราคานี้แน่นอน ก็ได้แต่หวังของเราจะก้าวสู่การทดสอบในมนุษย์สำเร็จ
ขอบคุณ thairath